วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

การรักษาความปลอดภัยบนระบบเครือข่าย



บทที่ 8
การรักษาความปลอดภัยระบบเครือข่าย


                         ในระบบเครือข่ายนั้นจะมีผู้ร่วมใช้เป็ นจ านวนมาก ดังนั้นจึงมีทั้งผู้ที่ประสงค์ดีและประสงค์ร้ายควบคู่กันไป สิ่งที่พบเห็นกันบ่อยๆ ในระบบเครือข่ายก็คืออาชญากรรมทางด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายประเภทด้วยกันเช่น พวกที่คอยดักจับสัญญาณผู้อื่นโดยการใช้เครื่องมือพิเศษจั๊มสายเคเบิลแล้วแอบบันทึกสัญญาณ พวกแคร๊กเกอร์
                         (Crackers) ซึ่งได้แก่ ผู้ที่มีความรู้ความช านาญด้านคอมพิวเตอร์แต่มีนิสัยชอบเข้าไปเจาะระบบคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่าย หรือไวรัสคอมพิวเตอร์ (Virus Computer)ซึ่งเป็ นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนขึ้นมาโดยมุ่งหวังในการก่อกวน หรือท าลายข้อมูลในระบบ
การรักษาความปลอดภัยในระบบเครือข่ายมีวิธีการกระท าได้หลายวิธีคือ
                         1. ควรระมัดระวังในการใช้งาน การติดไวรัสมักเกิดจากผู้ใช้ไปใช้แผ่นดิสก์ร่วมกับผู้อื่น แล้วแผ่นนั้นติดไวรัสมา หรืออาจติดไวรัสจากการดาวน์โหลดไฟล์มาจากอินเทอร์เน็ต
                         2. หม่ันสา  เนาข้อมูลอยู่เสมอ การป้ องกันการสูญหายและถูกท าลายของข้อมูลที่ดีก็คือ การหมั่นส าเนาข้อมูลอย่างสม่ำาเสมอ
                        3. ติดตั้งโปรแกรมตรวจสอบและก าจัดไวรัส วิธีการนี้ สามารตรวจสอบ และป้ องกันไวรัส
คอมพิวเตอร์ได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่เป็ นการป้ องกันได้ทั้งหมด เพราะว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ได้มีการพัฒนาอยู่
ตลอดเวลา
                        4. การติดตั้งไฟร์วอลล์ (Firewall) ไฟร์วอลล์จะท าหน้าที่ป้ องกันบุคคลอื่นบุกรุกเข้ามาเจาะ
เครือข่ายในองค์กรเพื่อขโมยหรือท าลายข้อมูล เป็ นระยะที่ท าหน้าที่ป้ องกันข้อมูลของเครือข่าย โดยการ
ควบคุมและตรวจสอบการรับส่งข้อมูลระหว่างเครือข่ายภายในกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
                        5. การใช้รหัสผ่าน (Username & Password) การใช้รหัสผ่านเป็ นระบบรักษาความปลอดภัยขั้นแรกที่ใช้กันมากที่สุด เมื่อมีการติดตั ้งระบบเครือข่ายจะต้องมีการก าหนดบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่าน หากเป็ น
ผู้อื่นที่ไม่ทราบรหัสผ่านก็ไม่สามารถเข้าไปใช้เครือข่ายได้หากเป็ นระบบที่ต้องการความปลอดภัยสูงก็ควรมีการเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ เป็ นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง

จรรยาบรรณสา  หรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

                        ปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็ นจ านวนมาก และมีจ านวนเพิ่มขึ ้นทุกวัน เครือข่าย
อินเทอร์เน็ตเป็ นระบบออนไลน์ที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันได้ในเครือข่ายย่อมมีผู้ประพฤติไม่ดีปะปนอยู่ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อส่วนรวมอยู่เสมอ
                        แต่ละเครือข่ายจึงได้ออกกฏเกณฑ์การใช้งานภายในเครือข่าย เพื่อให้สมาชิกในเครือข่ายของตนยึดถือและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี ้จะช่วยให้สมาชิกโดยส่วนรวมได้รับประโยชน์สูงสุด และป้ องกันปัญหาที่เกิดจากผู้ใช้บางคนได้ดังนั้นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนจะต้องเข้าใจกฏเกณฑ์ข้อบังคับของเครือข่ายที่89ตนเองเป็ นสมาชิกจะต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้ร่วมใช้บริการคนอื่น และจะต้องรับผิดชอบต่อการกระท าของตนเองที่เข้าไปขอใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์
                       เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้บริการอยู่ มิได้เป็ นเพียงเครือข่ายขององค์กรที่ผู้ใช้เป็นสมาชิกอยู่เท่านั้น แต่เป็ นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงเครือข่ายต่างๆ จ านวนมากเข้าไว้ด้วยกัน มีข้อมูลข่าวสารวิ่งอยู่ระหว่างเครือข่ายมากมายการส่งข่าวสารลงในเครือข่ายนั้นอาจท าให้ข่าวสาร กระจายไปยังเครือข่ายอื่นๆ เช่น การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับหนึ่งอาจจะต้องเดินทางผ่านเครือข่ายหลายเครือข่ายจนกว่าจดหมายฉบับนั้นจะ เดินทางถึงปลายทาง ดังนั้นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะต้องให้ความส าคัญและตระหนักถึงปัญหา ปริมาณข้อมูลข่าวสารที่วิ่งอยู่บนเครือข่ายแม้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจะได้รับสิทธ์ิจากผ้บู ริหารเครือข่ายให้ใช้บริการต่างๆ บเครือข่ายนั้นได้ผู้ใช้จะต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เครือข่ายนั้นวางไว้ด้วยไมพ่ งึละเมดิสทิธ์ิหรือกระท าการใดๆ ที่จะสร้าง
ปัญหาหรือไม่เคารพกฎเกณฑ์ที่แต่ละเครือข่ายวางไว้และจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้บริหารเครือข่ายนั้นอย่างเคร่งครัด
                       การใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์และเป็ นประโยชน์จะท าให้สังคมอินเทอร์เน็ตเป็ นสังคมที่น่าใช้และเป็ นประโยชน์ต่อส่วนรวม ผู้ใช้จะต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างที่ไม่ควรปฏิบัติ เช่น การส่งกระจายข่าวลือจ านวนมากบนเครือข่ายการกระจายข่าวแบบส่งกระจายไปยังปลายทางจ านวนมาก การส่งเอกสารจดหมายลูกโซ่เป็ นต้น กิจกรรมเหล่านี้จะเป็ นผลเสียต่อส่วนรวม และไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อสังคมอินเทอร์เน็ต

บัญญัติ 10 ประการ สา  หรับผู้ใช้อนิเทอร์เน็ต

                      ยืน ภู่วรวรรณ ได้กล่าวถึงบัญญัติ 10 ประการซึ่งเป็ นจรรยาบรรณที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยึดถือไว้เสมือนเป็นแม่บทของการปฏิบัติผู้ใช้พึงระลึกและเตือนความจำเสมอ
                     1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ท าร้าย หรือละเมิดผู้อื่น
                     2. ต้องไม่รบกวนการท างานของผู้อื่น
                     3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิ ดดูแฟ้ มข้อมูลของผู้อื่น
                     4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
                     5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็ นเท็จ
                     6. ต้องไมค่ ดัลอกโปรแกรมของผ้อู ่ืนท่ีมีลขิสทิธ์ิ
                     7. ต้องไมล่ ะเมดิการใช้ทรัพยากรคอมพวิเตอร์โดยท่ีตนเองไมม่ ีสทิธ์ิ
                     8. ต้องไม่น าเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็ นของตน
                     9. ต้องค านึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระท าของท่าน
                    10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฏระเบียบ กติกา และมีมารยาท90
                    จรรยาบรรณเป็ นสิ่งที่ท าให้สังคมอินเทอร์เน็ตเป็ นระเบียบ ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็ นเรื่องที่จะต้องปลูกฝังกฏเกณฑ์ของแต่ละเครือข่ายจะต้องมีการวางระเบียบ เพื่อให้การด าเนินงาน เป็ นไปอย่างมีระบบ และเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน บางเครือข่ายมีบทลงโทษที่ชัดเจน เช่น การปฏิบัติผิดกฏเกณฑ์ของเครือข่ายจะต้องตดัสทิธ์ิการเป็นผู้ใช้ของเครือข่ายในอนาคตจะมี การใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมากจรรยาบรรณจึงเป็ นสิ่งที่ช่วยให้สังคมอินเทอร์เน็ต สงบสุข หากมีการละเมิดอย่างรุนแรง กฎหมายจะเข้ามามีบทบาทต่อไป

จรรยาบรรณเกี่ยวกับเวิล์ดไวด์เว็บ (WWW)

                    1. ไม่ควรใส่รูปภาพที่มีขนาดใหญ่ไว้ในเว็บเพจของท่าน เพราะท าให้ผู้ที่เรียกดูต้องเสียเวลามาก ในการแสดงภาพเหล่านั้น ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตส่วนมากเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยโมเด็ม ท าให้ผู้เรียกดูรูปภาพขนาดใหญ่เบื่อเกินกว่าที่จะรอชมรูปภาพนั้นได้
                    2. เมื่อเว็บเพจของท่านต้องการสร้าง link ไปยังเว็บเพจของผู้อื่น ท่านควรแจ้งให้เจ้าของเว็บเพจ นั้นทราบ ท่านสามารถแจ้งได้ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
                   3. ถ้ามีวิดีโอหรือเสียงบนเว็บเพจ ท่านควรระบุขนาดของไฟล์วิดีโอหรือไฟล์เสียงไว้ด้วย (เช่น 10 KB, 2 MB เป็ นต้น)เพื่อให้ผู้เรียกดูสามารถค านวนเวลา ที่จะใช้ในการดาวน์โหลด ไฟล์วิดีโอ หรือไฟล์เสียงนั ้น
                   4. ควรตั้งชื่อ URL ให้ง่ายไม่ควรมีตัวอักษรตัวใหญ่ปนกับตัวอักษรตัวเล็ก ซึ่งจ าได้ยาก
                   5. ถ้าต้องการเรียกดูข้อมูลจาก URL ที่ไม่ทราบแน่ชัด ท่านสามารถเริ่มค้นหาจาก Domain address ได้โดยปกติ URL มักจะเริ่มต้นด้วย www แล้วตามด้วยที่อยู่ของเว็บไซต์ เช่น
http://www.nectec.or.th/
http://www.tv5.co.th/
http://www.kmitl.ac.th/
http://www.srithai.com/
                   6. ถ้าเว็บไซด์มี link เชื่อมโยงไปยังเว็บเพจอื่นๆ ด้วยรูปภาพ อาจท าให้ผู้เรียกดูที่ใช้โปรแกรมบราวเซอร์ที่ไม่สนับสนุนรูปภาพ ไม่สามารถเรียกชมเว็บไซต์ของท่านได้ ท่านควรเพิ่ม link ที่เป็ นตัวหนังสือเพื่อเชื่อมโยงไปยังเว็บเพจอื่นๆ ด้วย
                   7. ไม่ควรใส่รูปภาพที่ไม่มีความส าคัญต่อข้อมูลบนเว็บเพจ เนื่องจากไฟล์ของรูปภาพมีขนาดใหญ่ ท าให้เสียเวลาในการเรียกดูและสิ้นเปลือง bandwidth โดยไม่จ าเป็ น
                   8. ควรป้องกนั ลิขสทิธ์ิของเว็บไซตด์้วยการใส่เครื่องหมาย trademark (TM) หรือเครื่องหมาย
Copyright ไว้ในเว็บเพจแต่ละหน้าด้วย
                   9. ควรใส่ Email address ของท่านไว้ด้านล่างของเว็บเพจแต่ละหน้า เพื่อให้ผู้เรียกชมสามารถ
สอบถามเพิ่มเติม หรือติดต่อท่านได้91
                 10. ท่านควรใส่ URL ของเว็บไซต์ไว้ด้านล่างของเว็บเพจแต่ละหน้าด้วย เพื่อเป็ นแหล่งอ้างอิงในอนาคตส าหรับผู้ที่สั่งพิมพ์เว็บเพจนั้น
                 11. ควรใส่วันที่ของการแก้ไขข้อมูลบนเว็บไซต์ครั้งสุดท้ายไว้ด้วย เพื่อให้ผู้เรียกชมทราบว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นมีความทันสมัยเพียงใด
                 12. ห้ามไม่ให้เวบไซด์มีเนื้อหาที่ละเมิดลิขสทิธ์ิมีเนื้อหาที่ตีความไปในทางลามกอนาจาร หรือการใช้ความ รุนแรง เนื้อหาที่ขัดต่อกฎหมาย ผู้จัดท าเว็บไซต์จะต้องเป็ นผู้รับผิดชอบต่อเนื้อหาและข้อมูลทั้้งหมดในเว็บไซต์นั้น

จรรยาบรรณเกี่ยวกับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (email) และแฟ้มข้อมูล

                 ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนมีตู้จดหมาย (mailbox) และอีเมล์แอดเดรสที่ใช้อ้างอิงในการรับส่งจดหมายความรับผิดชอบต่อการใช้งานจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เป็ นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความส าคัญอย่างมาก เพราะระบบจะรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โดยอัตโนมัติหากมีจดหมายค้างในระบบเป็ นจ านวนมากจะท าให้พื้นที่จัดเก็บจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของระบบหมดไป ส่งผลให้ระบบไม่สามารถรับส่งจดหมายได้อีก ท าให้ผู้ใช้ทุกคนในระบบไม่สามารถรับส่งจดหมายที่ส าคัญได้อีกต่อไป นอกจากนี ้ผู้ใดผู้หนึ่งส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดใหญ่มาก ส่งแบบกระจายเข้าไปในระบบเดียวกันพร้อมกันหลายคน จะทำให้ระบบหยุดทำงานได้เช่นกัน
                ผู้ใช้ทุกคนพึงระลึกเสมอว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ที่จัดเก็บตู้จดหมายของแต่ละคนมิได้มีผู้ใช้เพียงไม่กี่คนแต่อาจมีผู้ใช้เป็ นพันคน หมื่นคน ดังนั้นระบบอาจมีปัญหาได้ง่าย ผู้ใช้แต่ละคนจะต้องมีความรับผิดชอบในการดูแลตู้จดหมายของตนเอง ดังนี้
               1. ตรวจสอบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของตนเองทุกวัน และจะต้องจัดเก็บแฟ้ มข้อมูลและจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของตนให้เหลือภายในโควต้าที่ผู้บริหารเครือข่ายก าหนดให้
               2. ลบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ต้องการแล้ว ออกจากระบบเพื่อลดปริมาณการใช้เนื ้อที่ระบบ
               3. ดูแลให้จ านวนจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในตู้จดหมาย มีจ านวนน้อยที่สุด
               4. ควรโอนย้ายจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่จะใช้อ้างอิงภายหลัง มายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง
               5. พึงระลึกเสมอว่าจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บไว้ในตู้จดหมายนี้อาจถูกผู้อื่นแอบอ่านได้ดังนั้นไม่ควรจัดเก็บข้อมูลหรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ใช้แล้วไว้ในตู้จดหมาย
               หลังจากผู้ใช้ได้รับบัญชี(account) ในโฮสจากผ้บู ริหารเครือข่าย ผู้ใช้จะได้รับสิทธ์ิให้ใช้เนื ้อที่ของระบบ ซึ่งเป็ นเนื้อที่เฉพาะที่เรียกว่า "โฮมไดเรกทอรี" ตามจำนวนโควต้าที่ผู้บริหารเครือข่ายก าหนด ผู้ใช้จะต้องมีความรับผิดชอบต่อเนื้อที่ดังกล่าว เพราะเนื้อที่ของระบบเหล่านี้เป็นเนื้อที่ที่ใช้ร่วมกัน เช่นโฮสแห่งหนึ่งมีผู้ใช้ร่วมกันสามพันคน ถ้าผู้บริหารเครือข่ายก าหนดเนื้อที่ให้ผู้ใช้คนละ 3 เมกะไบต์โฮสจะต้องมีเนื้อที่จ านวน 9 จิกะไบต์โดยความเป็ นจริงแล้ว โฮสไม่มีเนื้อที่จ านวนมากเท่าจ านวนดังกล่าว เพราะผู้บริหาร92เครือข่ายคิดเนื้อที่โดยเฉลี่ยของผู้ใช้เป็ น 1 เมกะไบต์ดังนั้นถ้าผู้ใช้ทุกคนใช้พื้นที่ให้พอเหมาะและจัดเก็บเฉพาะแฟ้ มข้อมูล ที่จ าเป็ นจะท าให้ระบบมีเนื้อที่ใช้งานได้มาก ผู้ใช้ทุกคนควรมีความรับผิดชอบร่วมกันดังนี้
               1. จัดเก็บแฟ้ มข้อมูลในโฮมไดเรกทรอรีของตนให้มีจำนวนต่ำที่สุด ควรโอนย้ายแฟ้ มข้อมูลมาเก็บไว้
ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง
               2. การแลกเปลี่ยนแฟ้ มข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนและผู้อื่นในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ควรจะตรวจสอบไวรัสเป็ นประจ า เพื่อลดการกระจายของไวรัสในเครือข่าย
              3. พึงระลึกเสมอว่าแฟ้ มข้อมูลของผู้ใช้ที่เก็บไว้บนเครื่องนั้น อาจได้รับการตรวจสอบโดยผู้ที่ มีสทธิ์สงูกว่า ดังนั ้นผู้ใช้ไม่ควรเก็บแฟ้ มข้อมูลที่เป็ นเรื่องลับเฉพาะไว้บนโฮส

ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ตต่อการจัดการศึกษา

             จากคุณสมบัติและปัจจัยต่างๆ ที่อินเทอร์เน็ตมีให้แก่ผู้ใช้นั้นเป็นโอกาสในการน ามาใช้ประโยชน์
ทางการศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งมีสาระส าคัญต่อการศึกษาเป็ นอย่างมาก ดังนี้
             1. เปิดโอกาสให้ครูอาจารย์นักเรียน และนักศกึษา สามารถเข้าถงึแหล่งความรู้ที่
หลากหลาย หรือเสมือนหนึ่งมี" ห้องสมุดโลก" (Library of the World) เพียงปลายนิ้วสัมผัส เช่น ครูและ
นักเรียนสามารถค้นหาหรือสืบค้นข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ได้ทั่วโลกโดยไม่มีข้อจ ากัด ทางด้านสถานที่ และเวลา(Anywhere & Anytime) คณาจารย์และนักเรียนที่ด้อยโอกาส อันเนื่องมาจากความห่างไกล ทุรกันดาร ขาดแหล่งห้องสมุดที่ดี สามารถค้นหา ข้อมูลข่าวสารและความรู้ได้อย่างเท่าเทียมกันมากยิ่งขึ ้นเด็กนักเรียนเอง สามารถร่วมกันผลิตข้อมูลในแขนงต่าง ๆ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับพันธุ์
พืช ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ชุมชน ศิลปะ วัฒนธรรมท้องถิ่น ภูมิปัญญา
ชาวบ้าน เพื่อเผยแพร่แลกเปลี่ยนกับเด็กทั่วโลกในขณะที่ครูสามารถน าเนื ้อหาทางวิชาการที่มีประโยชน์ เช่น บทความทางวิชาการ เอกสารการสอนลงในเว็บไซต์เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาและแลกเปลี่ยนภายในวงการซึ่งกันและกัน
             2. พัฒนาการส่ือสารระหว่างครูกับนักเรียน ซึ่งมีผลสืบเนื่องมาจากการที่อินเทอร์เน็ต สามารถ
ให้บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความสะดวก รวดเร็ว แม่นย า และง่ายต่อการใช้ ท าให้เกิดการสื่อสารเพิ่มมากขึ้นในระบบการศึกษา ทั ้งที่เป็ นการสื่อสารระหว่างครูกับครู ครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนกับนักเรียนเองซึ่งในปัจจุบันคณาจารย์จ านวนมากในหลายสถาบันทั้งระดับมัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ได้ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็ น สื่อกลางในการให้การบ้าน รับการบ้าน และตรวจส่งคืนการบ้าน ในขณะเดียวกันการสื่อสาร ระหว่างนักเรียนสามารถช่วยส่งเสริมการท างานกลุ่ม การปรึกษาหารือกับครูและเพื่อนนักเรียนในเชิงวิชาการ
            3. เปล่ียนบทบาทของครูและนักเรียน การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอน จะท าให้บทบาท
ของครูปรับเปลี่ยนไปจากการเน้นความเป็น "ผู้สอน" มาเป็ น "ผู้แนะนา  " มากขึ้น ในขณะที่กระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนจะเป็ นการเรียนรู้"เชิงรุก" มากขึ้น ทั้งนี ้เนื่องจากฐานข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเป็ นปัจจัยบวก93ที่ส าคัญที่จะเอื ้ออ านวยให้นักเรียนสามารถเรียนและค้นคว้าได้ด้วยตนเอง (independent learning) ได้สะดวกรวดเร็ว และมากยิ่งขึ้นแต่อย่างไรก็ตามก็มีความจ าเป็ นที่จะต้องตระหนักว่า บทบาทและรูปแบบที่จะปรับเปลี่ยนไปนี้จะต้องมีการเตรียมการที่ดีควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของครูที่จะต้องวางแผนการ "ชี้แนะ" ให้รัดกุม เพื่อให้การเรียนรู้ของเด็กมีประสิทธิผลดีขึ ้น ปรับจากการเรียนตามครูสอน
(passive learning) มาเป็ นการเรียนรู้วิธีเรียน (learning how to learn) และเป็ นการเรียนด้วยความอยากรู้
(active learning) อย่างมีทิศทาง.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น